วิธีหาทำเลธุรกิจให้ได้กำไรสูงสุด โดยการใช้ Geomarketing
- Satawat Keereewan
- 2 มิ.ย. 2566
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 19 ก.ค. 2566
Geomarketing เป็นเครื่องมือด้านการตลาด ที่อาศัยเทคโนโลยีและข้อมูล Geodata ขนาดใหญ่มาช่วยในการวิเคราะห์และประมวลผลหาทำเลธุรกิจที่ดีและเหมาะสมที่สุด วันนี้เราจะพาไปดูการนำ Geomarketing ของ Geointellect มาช่วยในการวิเคราะห์เลือกทำเลธุรกิจกันครับ

ขั้นตอนที่ 1: ระบุกลุ่มเป้าหมาย
ก่อนจะเปิดธุรกิจสักที่ เราจะต้องระบุกลุ่มเป้าหมายของเราให้ได้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร ยิ่งมีข้อมูลเฉพาะเจาะจงและลงลึกได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เช่น อายุ เพศ รายได้ พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ
โดยในการหาทำเลหน้าร้านแบบปกติทั่วไป เราจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลข้างต้นมาวิเคราะห์เอง ทั้งนี้ อาจมีปัญหาและอุปสรรคอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ข้อมูลที่ได้ไม่เพียงพอ หรือข้อมูลขาดความแม่นยำ หรือบางครั้ง หากเราต้องการเปรียบเทียบทำเลหน้าร้านหลาย ๆ ที่พร้อมกัน เราอาจจะต้องเสียเวลาหาข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาเปรียบเทียบ
แต่ถ้าเราใช้เครื่องมือ Geomarkating เราสามารถเรียกดูข้อมูลเหล่านี้ได้เลยทันที ทำให้เราทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของเรานั้นกระจุกตัวอยู่ที่ไหนมากสุด และพื้นที่ไหนน่าสนใจสำหรับการไปเปิดธุรกิจของเรา ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายอย่างเดียวไม่พอ เราจำเป็นต้องใช้ข้อมูลอื่น ๆ มาวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วย

ขั้นตอนที่ 2: พิจารณาโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่
อีกหนึ่งข้อมูลที่สำคัญไม่แพ้กัน คือข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในพื้นที่นั่น ๆ เช่น ระบบขนส่ง BTS MRT ถนนหนทาง ตึก สำนักงาน ออฟฟิศ สถานศึกษา ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถบ่งบอกถึงโอกาสและความน่าสนใจของการเปิดธุรกิจในพื้นที่นั้น ๆ ได้
โดยในการหาทำเลหน้าร้านด้วยวิธีการปกติ เราจะต้องกำหนดขอบเขตพื้นที่เองเพื่อพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นั้น ๆ แต่ปัญหาคือเราอาจจะไม่ทราบว่าจะต้องกำหนดขอบเขตพื้นที่มากน้อยแค่ไหนหรืออย่างไร ยิ่งต้องเปรียบเทียบทำเลต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ต่างกันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การกำหนดขอบเขตให้อยู่ในสเกลที่เท่ากันเป็นเรื่องยาก ส่งผลให้การวิเคราะห์เปรียบเทียบคลาดเคลื่อนได้

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว Geointellect สามารถระบุพื้นที่ก่อสร้างใหม่หรือกำลังก่อสร้าง พร้อมข้อมูลความหนาแน่นของประชากรในเขตพื้นที่นั้น ๆ ได้ เป็นประโยชน์สำหรับการมองหาทำเลธุรกิจเกิดใหม่
ตัดกลับมาที่ระบบ Geomarketing เราสามารถกำหนดพื้นที่เปรียบเทียบได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น โดยอาศัยระยะเวลาในการเข้าถึงหน้าร้านมาเป็นตัวแปรควบคุมในการเปรียบเทียบ เช่น หากเรากำหนดว่าภายในระยะเวลา 5 นาที ลูกค้าสามารถเดินทางมาถึงหน้าร้าน A และ B ได้มากน้อยเพียงใด ระบบก็จะประมวลผลจากลักษณะพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นั้น ๆ และแปรผลออกมาเป็นขอบเขตแผนที่ที่ลูกค้าสามารถเดินทางมาถึงเราได้ในระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งขนาดและลักษณะของแผนที่ในแต่ละทำเลก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่นั้น ๆ นั่นเอง

ลักษณะแผนที่ที่แตกต่างกัน ตามลักษณะและโครงสร้างพื้นฐานนพื้นที่นั้น ๆ
นอกจากนี้ ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ยังช่วยให้เราเห็นจุดเด่นของกลุ่มเป้าหมายเราได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย เช่น หากกลุ่มเป้าหมายของเราคือวัยทำงาน เราอาจพิจารณาดูโครงสร้างพื้นฐานในแถบที่มีออฟฟิศอยู่หนาแน่น แล้วลองเทียบกับโครงสร้างพื้นฐานในแถบที่มีสถานศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วดูความต่างของโครงสร้างพื้นฐานนี้ดู ความต่างที่ปรากฎนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นวัยทำงาน เราควรเน้นทำเลธุรกิจที่มีโครงสร้างพื้นฐานแบบใดเป็นพิเศษหรือไม่

แผนที่แสดงการกระจุกตัวของคนทำงาน ช่วยให้เราพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานเด่น ๆ ในพื้นที่นั้นได้
ขั้นตอนที่ 3: ดูความหนาแน่นและการสัญจรของลูกค้า
ชุดข้อมูลที่สำคัญถัดมาที่ต้องพิจารณาในการเลือกทำเลหน้าร้าน คือความหนาแน่นและการสัญจรของลูกค้า โดยในการเลือกหาทำเลหน้าร้านด้วยวิธีการปกติทั่วไป เราแทบจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าในแต่ละวันหรือช่วงเวลาของวันนั้นจะมีลูกค้าสัญจรผ่านหน้าร้านกี่คน นอกจากจะลงไปเก็บข้อมูลภาคสนามเองเป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
แต่ถ้าเราใช้ระบบ Geomarketing เราสามารถดึงข้อมูลจากระบบเครือข่ายมือถือขึ้นมาแสดงได้เลย โดยข้อมูลนี้จะทำให้เราเห็นว่าบริเวณหน้าร้านที่เราสนใจเข้าไปเปิดธุรกิจนั้น มีผู้คนสัญจรผ่านมากน้อยแค่ไหนในแต่ละช่วงเวลา หรือในช่วงวันทำงาน หรือในช่วงวันหยุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการตัดสินใจเลือกหน้าร้าน

แผนที่แสดงความหนาแน่นและการกระจุกตัวของลูกค้าในช่วงเวลาและวันต่าง ๆ จากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ
ขั้นตอนที่ 4: พิจารณาการแข่งขัน
คู่แข่งเป็นปัจจัยสำคัญมากที่เราจะต้องพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำเลหน้าร้านที่เหมาะสม โดยในการเลือกหาหน้าร้านแบบปกติ เราอาจจะต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลคู่แข่งในพื้นที่เอง หรืออาจจะต้องใช้ข้อมูล Open Sources ในการค้นหาคู่แข่ง ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อน แต่ถ้าเราใช้ระบบ Geomarketing การเช็คคู่แข่งจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายและสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเราสามารถเรียกดูคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมได้เลยทันที ตามธุรกิจและหมวดหมู่ที่เราต้องการ

ตัวอย่างแผนที่คู่แข่งของร้านสะดวกซื้อในทำเลที่เราสนใจเปิดธุรกิจ
นอกจากนี้ Geomarketing ยังช่วยให้เราวิเคราะห์ระดับการขันแข่งได้อีกด้วย เช่น หากเรากำหนดขอบเขตพื้นที่จากโลเคชั่นหน้าร้านที่เราสนใจจะเข้าไปเปิด จากนั้นกำหนดขอบเขตพื้นที่อีกอันจากหน้าร้านของคู่แข่ง ระบบจะแสดงแผนที่ขึ้นมาสองอัน โดยพื้นที่ซ้อนทับบนแผนที่บ่งบอกถึงพื้นที่การแข่งขัน ซึ่งเราสามารถเช็คจำนวนลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่การแข่งขันนี้ได้ และนำข้อมูลมาช่วยวิเคราะห์และพิจารณาความเหมาะสมของหน้าร้านที่เราจะเข้าไปตั้งได้

ตัวอย่างแผนที่ซ้อนทับ ที่สามารถใช้วิเคราะห์การแข่งขันบนพื้นที่ซ้อนทับได้
ขั้นตอนที่ 5: คาดการณ์กำไรในอนาคต
ข้อมูลคาดการณ์กำไรในอนาคตก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สำคัญในการตัดสินใจเลือกหน้าร้านเช่นกัน โดยปกติแล้วมักจะมีการจัดทำข้อมูลนี้ในบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้น เพราะจำเป็นจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นจำนวนมากและมีระบบการคำนวณที่เฉพาะเจาะจง
แต่ระบบ Geomarketing สามารถทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะมีชุดข้อมูล Geodata ขนาดใหญ่อยู่ในมืออยู่แล้ว และสามารถนำมาประมวลผลผ่านโมเดลการคำนวณของระบบได้ทันที ทำให้ผู้ใช้สามารถคาดการณ์กำไรในอนาคตจากการเปิดหน้าร้านในทำเลที่สนใจได้ เป็นประโยชน์อย่างมากในการเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกหน้าร้านที่ดีที่สุด

ตัวอย่างการคาดการณ์กำไรจากทำเลที่สนใจเข้าไปเปิดธุรกิจ ผ่านโมเดลคำนวนและการประมวลผลร่วมของข้อมูลต่าง ๆ
กรณีตัวอย่าง: วิธีเลือกทำเลเปิดคลินิก
ในการจะเปิดคลินิกสักที่นั้น การพิจารณาจำนวคลินิกในแต่พื้นที่นั้น ๆ อย่างเดียวอาจจะไม่พอ เราจำเป็นจะต้องดูลึกไปถึงความหนาแน่นของประชากร อายุ เพศ ตลอดจนรายได้ของคนในพื้นที่นั้น ๆ รวมไปถึงระบบคมนาคม ทางเท้า การเข้าถึงคลินิก และคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย
หากเราไม่ได้ใช้ระบบ Geomarketing เราอาจจะต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลทั้งหมดด้วยตัวเองหรือใช้ข้อมูล Open Sources ซึ่งจะตามมาด้วยข้อจำกัดและปัญหาตามที่อธิบายไว้ข้างต้น
แต่ถ้าเราใช้ Geomarketing เราจะประหยัดเวลาและแรงงานไปได้เป็นอย่างมาก โดยเราสามารถใช้โมเดลการวิเคราะห์ของระบบในการช่วยจัดทำโปรไฟล์ลูกค้าที่จะมาใช้บริการคลินิก แล้วให้ระบบช่วยประมวลผลร่วมกับข้อมูลด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร จำนวนสถานบริการด้านสุขภาพ สัดส่วนสถานบริการด้านสุขภาพต่อจำนวนประชากรในพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐานของเมือง ถนนหนทาง การเข้าถึง จุดน่าสนใจอื่น ๆ รอบข้าง แล้วประมวลผลให้เราโดยอัตโนมัติในรูปของแผนที่ศักยภาพ

แผนที่ศักยภาพ จากการประมวลผลโดยอัตโนมัติของระบบ สีน้ำเงินหมายถึงพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสุด ลดหลั่นตามความเข้มของสี ส่วนสีแดงเข้มคือพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง
หรือมิเช่นนั้น เราอาจจะวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองทีละขั้นก็ได้ โดยเริ่มจาก
1. กำหนดขอบเขตพื้นที่ให้บริการของคลินิกที่เราสนใจเข้าไปเปิด จากนั้นพิจารณาจำนวนคนที่พักอาศัย อายุ และความหนาแน่นของประชากรในเขตพื้นที่นั้น ๆ

ข้อมูลแสดงลักษณะเฉพาะของประชากรในพื้นที่นั้น ๆ

แผนที่แสดงรายได้ของคนในพื้นที่ ยิ่งสีเข้ม ยิ่งมีรายได้สูง
2. จากนั้นพิจารณาดูจำนวนคนที่สัญจรผ่านในพื้นที่และบริเวณคลินิกที่เราสนใจเข้าไปเปิด แล้วเปรียบเทียบกับโลเคชั่นอื่น ๆ

แผนที่แสดงการสัญจรของลูกค้า จากซ้ายไปขวา การเดิน การกระจุกตัว และความคับคั่งของการจราจร
3. ถัดมา ประเมินคู่แข่งในพื้นที่นั้น ๆ ว่ามีสถานบริการด้านสุขภาพในเขตพื้นที่ที่เราเลือกมากน้อยแค่ไหน พร้อมพิจารณาจุดซ้อนทับของพื้นที่บนแผนที่ เพื่อดูการแข่งขันผ่านจำนวนลูกค้าหรือคนไข้ในพื้นที่ซ้อนทับนั้น

แผนที่คู่แข่งในลักษณะของ Heatmap ยิ่งสีเข้ม ยิ่งมีคู่แข่งกระจุกตัวอยู่มาก
4. พิจารณาโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่นั้น ๆ เพิ่มเติม เช่น ร้านค้า ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม สถานีรถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ห้าง สถานที่จอดรถ ฯลฯ

แผนที่แสดงธนาคาร ร้านอาหาร สถานีรถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์
5. พิจารณาอสังหาที่เราต้องการเข้าไปเปิด

แผนที่แสดงอสังหาว่างให้เช่าหรือขาย พร้อมราคาเปรียบเทียบ และข้อมูลติดต่อ
6. เปรียบเทียบข้อมูลในทำเลต่าง ๆ และตัดสินใจเลือกทำเลที่เหมาะสม

ตัวอย่างไฟล์ข้อมูล สำหรับวิเคราะห์เปรียบเทียบทำเลธุรกิจที่ดีที่สุด โดยสามารถจัดทำไฟล์ได้ทั้งในรูป Excel, Word, PowerPoint พร้อมนำไปใช้วิเคราะห์ เข้าที่ประชุม หรือทำรายงานต่อได้ทันที

ตัวอย่างข้อมูลเชิงลึกในการวิเคราะห์เลือกทำเลหน้าร้าน สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมข้อมูลของบริษัทเข้ากับระบบ Geomarketing ของ Geointellect โดยตรง
Comments